Q: ช่วยเล่าประวัติตัวเองให้ฟังหน่อยได้มั้ยครับ ว่าจบที่ไหน ทำงานที่ไหน ทำไมถึงอยากเปลี่ยนสายงาน ทำไมถึงคิดอยากเรียนต่อต่างประเทศ
A: สวัสดีค่ะ ชื่อ กีฟ ธนกาญจน์ ฮมแสน ค่ะ อายุ 26 ปี กำลังจะไปเรียนระดับ Certificate ใน Global Business Program ระยะเวลา 9 เดือน ซึ่งเป็นหลักสูตรของ University of Washington ที่ Seattle ค่ะ จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์หัวหิน หลังจากนั้นทำงานเป็น Passenger Service Agent ให้บริษัท Lufthansa Services (Thailand) อยู่ 2 ปี ออกจากงานเพราะรู้ตัวแล้วว่าไม่ชอบงานเข้ากะแบบนี้ ทรมานสุขภาพตัวเอง ประจวบเหมาะกับตอนนั้นกดโควตา Work and Holiday Visa ของออสเตรเลียได้ เลยไปอยู่ที่เมลเบิร์น 1 ปีเต็ม ระหว่างนั้นค้นพบแล้วว่าจะวางแผนยังไงกับชีวิตดี เราอยากกลับมาเรียนที่นี่ ใช้ชีวิตที่นี่ เพราะชอบสิ่งแวดล้อมอย่างนี้ คุณภาพชีวิตแบบนี้ ชอบที่จะได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักในการสื่อสาร ไม่ใช่ว่าลืมภาษาแม่ตัวเองนะ แต่เรารู้สึกว่า การใช้ภาษาที่สองสื่อสารกับเจ้าของภาษา มันคือการเปิดโลก เปิดมุมมองอะไรใหม่ๆ มีความท้าทาย และสนุกมาก พอกลับมาเมืองไทยเลยเตรียมตัวขอวีซ่านักเรียน แต่กลับกลายเป็นว่า ขอวีซ่าไม่ผ่าน ชีวิตพลิกมากเลยค่ะตอนนั้น หัวหมุนไปหมด จังหวะชีวิตตอนนั้นไม่ค่อยดีด้วย เพราะเป็นช่วงที่ประเทศไทยเพิ่งโดนปรับมาเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะอพยพเข้าไปอยู่ในประเทศออสเตรเลียพอดี ทุกอย่างเสี่ยงไปหมด เลยเปลี่ยนประเทศ สุดท้าย มาลงเอยที่ประเทศอเมริกา
สาเหตุที่ตัดสินใจเรียนต่อเพราะรู้สึกว่า เราไม่มีทักษะที่จำเป็นในการที่จะได้งานที่ดีขึ้น หรือประกอบอาชีพที่มีความอิสระมากกว่าการเป็นพนักงานบริษัทแบบที่เคยเป็นมา สาเหตุที่ว่า ทำไมต้องเป็นต่างประเทศ เพราะว่า อย่างที่บอกว่า เราสนุกกับการใช้ภาษาอังกฤษมาก เลยอยากพัฒนาภาษาให้มันดียิ่งขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ชี้เฉพาะมากขึ้นในสาขาที่เราเลือกเรียน อีกอย่างที่สำคัญมากคือ ประเทศเหล่านี้มีสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เอื้อต่อการเจริญเติบโตทางความคิด เอื้อต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีโอกาสดีๆ อีกมากมายที่ประเทศเรายังไม่เอื้ออำนวยเท่านี้
Q: ทำไมตัดสินใจเรียน Global Business Program ที่ University of Washington ทั้งๆ ที่มีหลายสถาบันให้เลือก และหลายประเทศให้เลือก
A: เพราะ UW เป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก เลยหมดความกังวลว่าคุณภาพหลักสูตรจะดีไหม จะคุ้มกับการลงทุนแค่ไหน แถมเป็นที่ที่สวยมาก เหมือนฝันเลย สิ่งแวดล้อมแบบนี้แหละที่ต้องการ เพราะเราเชื่อว่า การเรียนรู้ให้ดี ให้ได้ผล คือต้องมีแรงบันดาลใจดี อีกทั้งเคยไปเที่ยว Seattle มาแล้วครั้งนึง แล้วรู้สึกว่าเป็นเมืองที่ดีเมืองนึง คุณภาพชีวิตดี สิ่งแวดล้อมดี ต้นไม้เยอะ ไม่แออัดจนเกินไป คนไทยไม่เยอะเท่า Los Angeles แถมมีคุณป้าแท้ๆ กับพี่สาวอาศัยอยู่ที่นั่นด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีปัญหาอะไร เราก็สามารถปรึกษาเค้าได้ ถ้าเราเลือกไปเมืองอื่น คนที่บ้านจะห่วงเรามากเกินไป เพราะเราต้องสู้เองทุกอย่าง ไม่มีใครที่จะให้พึ่งพาได้เลยหากเกิดอะไรฉุกเฉินจริงๆ การที่เรารู้จัก Torch Education ก็เพราะพี่สาวแนะนำมาจากคนรู้จักอีกทีนึง ซึ่งพี่สาวเองก็เคยเรียนโปรแกรมภาษาอังกฤษของ University of Washington นั่นเลยถือเป็นจังหวะดี โชคดีมาก พอได้หาข้อมูลเกี่ยวกับ Torch Education ได้รู้จักกับพี่ภูริต ก็ได้รู้ข้อมูลหลักสูตร Global Business และเห็นว่านี่ล่ะ ใช่เลย เป็นหลักสูตรที่จะทำให้เรามีทักษะเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจรอบด้าน ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราได้งานที่ดีขึ้น หรือสามารถทำงานในบริษัทระดับชาติได้ แต่ยังเปิดโอกาสให้เราใช้ความรู้นี้กับธุรกิจส่วนตัวของเราอีกด้วย เรียกว่าตอบโจทย์ทุกข้อที่เราต้องการ
Q: อยากให้ช่วยเล่าประสบการณ์ในการขอวีซ่าหน่อยครับ เตรียมตัวขนาดไหน เครียดมากมั้ย กังวลประเด็นไหน มีวิธีการตอบคำถามยังไงให้สถานทูตเชื่อว่าเราไปเรียนจริงๆ
A: มีความกังวลล้านแปดจริงๆ ในขณะเดียวกันก็ปลงมาก เพราะเรามีประสบการณ์การขอวีซ่านักเรียนออสฯ แล้วโดนปฏิเสธถึงสองครั้ง คือแบบ ตอนนั้นตั้งใจทำเอกสารมากๆ แล้ววีซ่านักเรียนออสฯ ไม่มีการสัมภาษณ์ เรายื่นเอกสารออนไลน์อย่างเดียว เพราะฉะนั้น เราไม่มีโอกาสเจอเจ้าหน้าที่สถานทูตตัวต่อตัว ไม่มีโอกาสอธิบายครั้งที่สอง ทุกอย่างที่เขียนลงใน Statement of Purpose (จดหมายแจ้งจุดประสงค์ในการเรียน) ต้องเป๊ะมาก ไม่มีรูรั่ว เราทำอย่างตั้งใจและแสดงความจริงใจ เราคาดหวังมาก เพราะมันคือความฝัน คือเป้าหมายอันดับหนึ่งของเรา พอผลออกมาว่าไม่ผ่าน เราเลยพังสุดๆ ในขณะเดียวกันก็ปลงสุดๆ เหมือนกัน คิดไว้แล้วว่า ถ้าวีซ่านักเรียนอเมริกาไม่ผ่านอีกบ้าง ก็จะไม่ไปแล้ว เสียหายมาเยอะพอแล้ว หาเรียนมันที่ไทยนี่ล่ะ แต่ทำไงได้อ่ะ คนมันอยากไปเรียนนอก ก็เอาอีกซักตั้งละกัน จะว่าไป ความพังครั้งนั้น ก็เป็นบทเรียนที่ดีมากๆ ในการขอวีซ่าอเมริกาค่ะ เราทำให้ไม่ประมาท เราเตรียมตัวหนักมาก ชนิดที่ว่าเพื่อนๆ สงสัยว่าต้องเครียดขนาดนี้เลยหรอ ต้องเตรียมตัวมากขนาดนี้เลยหรอ อยากบอกว่า ถ้าไม่พังแบบเรามาก่อน ก็จะไม่รู้หรอก
มีสองประเด็นหลักที่กังวล ประเด็นแรกคือ เคยโดนปฏิเสธจากออสฯมานี่ล่ะค่ะ เราไม่รู้ว่าสถานทูตจะถามเราไหมเรื่องที่ว่า เคยโดนปฏิเสธวีซ่าจากประเทศอื่นรึเปล่า คือถ้าไม่ถามก็จะโล่งใจไปไง เพราะเราก็ไม่พูดอยู่แล้ว แต่ถ้าถามขึ้นมาเนี่ยสิ เราควรอธิบายว่ายังไงดี ก่อนที่เค้าจะหมายหัวว่าเราจะไปทำอะไรไม่ดีที่อเมริการึเปล่า
ประเด็นที่สองคือ มีคุณป้าอยู่ที่ Seattle ซึ่งเราเคยไปเยี่ยมมาแล้ว กลัวเค้าจะมองว่า เราจะไปตั้งรกรากอยู่กับป้า แล้วไม่กลับไทยหลังเรียนจบ
ความกังวลเราลดลงเยอะเมื่อได้ปรึกษากับพี่ภูริต พี่เค้าทำให้ประเด็นพวกนี้กลายเป็นเรื่องกล้วยๆ ไปเลย เค้ามีทางออกให้เราทุกประเด็น เพียงแค่ เราต้องฝึกซ้อมตอบคำถามสัมภาษณ์ให้คล่อง และมีความมั่นใจมากๆ เท่านั้น โดยคำนึงถึงจุดสำคัญหนึ่งเดียวคือ ทำให้เค้ามั่นใจให้ได้ว่า เราตั้งใจไปเรียนจริงๆ เรามีตังค์พร้อมจ่าย ไม่ได้ไปเกเร เรามีแผนที่จะกลับไทยแน่นอน เพราะอยากกลับมาทำงานที่บ้านอยู่แล้ว มีครอบครัวต้องดูแล
พอเราได้แนวทางสำคัญแบบนี้แล้ว เราก็เตรียมตัวอย่างจริงจัง รวบรวมคำถามต่างๆ มากถึง 17 คำถาม เรียบเรียงคำตอบของตัวเอง โดยอ่านประสบการณ์ของคนที่ผ่านการสัมภาษณ์มาแล้วจากเว็บไซต์และเพจ Facebook ของ Torch Education ซึ่งช่วยเราได้มากจริงๆ ในแง่ที่ว่า มีคำถามที่หลากหลาย เจ้าหน้าที่ถามแต่ละคนไม่เหมือนกันทั้งหมด เราจะได้เตรียมคำตอบได้ครอบคลุมทุกประเด็น จากนั้นเราก็ฝึกอัดวีดีโอถามตอบด้วยตัวเอง แล้วเปิดย้อนดู เพื่อจะได้เห็นชัดๆ ว่ากิริยาท่าทางการตอบคำถามของเรามีข้อผิดพลาดยังไงบ้าง ควรทำให้ดีขึ้นยังไงได้บ้าง ก่อนถึงวันสัมภาษณ์จริง ก็ไปจัดแจงเอกสารที่ Torch Education ตรวจสอบความถูกต้องครั้งสุดท้าย และให้พี่ภูริตช่วยซ้อมสัมภาษณ์ให้อีกรอบ เพื่อความสมจริงและด้วยความที่ส่วนตัวอยากได้ความคิดเห็น มุมมองที่หลากหลายมากกว่านั้น เราได้ซ้อมสัมภาษณ์กับเพื่อนที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษกับเพื่อนที่เป็นเจ้าของภาษา ซึ่งก็เป็นครูสอนภาษาอังกฤษด้วย เพราะเราอยากฝึกการจัดการกับความตื่นเต้นและความประหม่า ซึ่งแน่ใจมากๆ ว่าสถานการณ์จริงมันจะทำให้สติกระเจิงสุดๆ (คือไม่จำเป็นต้องบ้าแบบเราก็ได้ ซ้อมกับพี่ภูผ่านก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว)
ในวันสัมภาษณ์ ก่อนถึงคิวสัมภาษณ์เรา ฝืดคอมาก กลืนน้ำลายไม่ลง หัวใจเต้นแรงจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง ทั้งที่มีสติดี มีความมั่นใจมากแต่ก็ยังหวั่นๆ ใจอยู่ เพราะเห็นทั้งคนที่ผ่าน คนที่โดนถามซอกแซกและคนที่โดนปฏิเสธ แถมเจ้าหน้าที่ที่สัมภาษณ์เราเป็นคนขาว หน้าดุมาก ปรากฏว่าพอถึงตอนสัมภาษณ์จริง ถามน้อยมาก แค่ 3 – 4 คำถามเอง
– ไปเรียนสาขาไหน
– ไปเรียนที่ไหน
– ไปเรียนระดับไหน
– ไปนานเท่าไหร่
คำถามง่ายมาก ไม่ซับซ้อนเลย สิ่งที่ทำให้เราลุ้นและข้องใจในระหว่างนั้นคือ เค้าจ้องจอมอนิเตอร์เขม็งและพิมพ์ข้อมูลอยู่สักพักหนึ่งทีเดียว กว่าจะหันมามองเราแล้วพูดว่า โอเค แล้วเก็บเอกสารไป เราก็งงดิ โอเคไรวะ จ้องหน้าเค้า กะพริบตาปริบๆ เค้าก็เลยมองเรา ยิ้มขำๆ แล้วบอกว่า เสร็จแล้ว โชคดีนะ เราเดินออกมางงๆ พอสติดีปุ๊บถึงได้รู้ว่า วีซ่าผ่านแล้วว้อยยยยยยยยยยยยยย
Q: มีอะไรอยากแนะนำหรืออยากฝากถึง Torch Education บ้างมั้ยครับ
A: ต้องขอขอบคุณพี่ภูริตและพี่ๆ ทีมงาน Torch Education ทุกคน สำหรับคำแนะนำต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับเรื่องการทำเอกสาร การเตรียมตัวสัมภาษณ์ค่ะ มีประโยชน์มากๆ และช่วยทำให้เราคลายกังวลได้มากจริงๆ รวมทั้งการติดต่อประสานงานกับสถาบัน ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ นอกจากนั้นยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่นู่น ค่าใช้จ่ายต่างๆ สิ่งของจำเป็นที่ควรเตรียมไปด้วย การวางแผนการเรียน เรียกได้ว่าเป็นทีมงานที่รู้จริงและให้บริการครบวงจรทีเดียวค่ะ
Q: ช่วยฝากและแนะนำว่าเพื่อนๆ ควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนไปเรียนต่อต่างประเทศหน่อยครับ
A: ก่อนจะไปเรียนต่อต่างประเทศก็อยากแนะนำให้ตั้งเป้าหมายไว้ให้ชัดเจนค่ะ ว่าเรียนเพื่ออะไร มีประโยชน์กับอนาคตตัวเองยังไง เพราะการเรียนต่อต่างประเทศนี้เราต่างก็ทราบกันดีว่าต้องลงทุนมหาศาล ทั้งเงินทั้งเวลา ทุกคนคงอยากให้มันคุ้มค่าทั้งนั้น หลังจากนั้นก็ลุยเลย เตรียมตัวเต็มที่ ทั้งเรื่องเอกสาร พยายามหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด ทั้งเรื่องสถาบันที่เรียน รายละเอียดหลักสูตร ระยะเวลาที่จะไปเรียน เมืองที่จะไปอยู่ เรื่องการสัมภาษณ์ อ่านข้อมูลจากเว็บ Torch Education หรือดูจากเพจ Facebook ก็ได้ ซ้อมตอบคำถามให้บ่อย สงสัยตรงไหน ถามพี่ภูริตได้ทุกอย่าง เตรียมคำถามให้ครอบคลุม เตรียมคำตอบให้กระชับได้ใจความครบ เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะโดนคำถามแบบไหนบ้าง อีกทั้งเจ้าหน้าที่ไม่มีเวลามาฟังคำบรรยายยาวๆ เค้าจะตัดสินเราไวมาก คำถามไหนถ้าได้ยินไม่ชัด ก็ขอให้เค้าถามใหม่เลย ไม่ต้องตีความนาน ไม่ต้องเดา พูดเสียงดังฟังชัด มีความมั่นใจ ในขณะเดียวกันก็อ่อนน้อม ประโยชน์ของการซ้อมบ่อยๆ คือ เราจะตอบได้แม่นยำชัดเจนโดยแทบไม่เสียเวลาคิด แถมมันแสดงถึงความมั่นใจ ตั้งใจจริงของเราด้วย เราจะออกเสียงคำศัพท์เฉพาะ หรือชื่อเฉพาะได้อย่างไม่ติดขัด ซึ่งจุดสำคัญเหล่านี้ถ้าเราทำได้ลื่นไหล เจ้าหน้าที่เค้าจะเห็นว่าเราเตรียมตัวมาดี มีความตั้งใจจริง และไม่มีอะไรปกปิดค่ะ ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ






Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.